ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบริ่ง-ลาซาล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุพระราม2 บางขุนเทียน
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับดูแลผู้ป่วย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับดูแลผู้ป่วย แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
การดูแลผู้สูงอายุทีมีภาวะสมองเสื่อม
หลักการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม
1. ผู้ดูแล,ญาติ,คนรอบข้าง ต้องเข้าใจภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้น - ไม่โกรธ หรือโมโห ถ้าผู้ป่วยทำอะไรไม่เหมาะสม - อาการหรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เกิดจากโรคที่ทำให้มีอาการเช่นนั้น - ไม่หัวเราะ หรือขำพฤติกรรมต่างๆ เพราะอาจกระตุ้นอาการได้ - ไม่พยายามบังคับให้ผู้ป่วยจำ หรือทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย - ถ้าผู้ป่วยหงุดหงิด ควรหยุดพฤติกรรมทันที - ยืดหยุ่น ปรับตัว และยอมรับการเปลี่ยนแปลง - ลดความคาดหวังในตัวผู้ป่วยลง 2. ดูแลเหมือนผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ต้องให้ : - ความเคารพ (ให้เกียรติในการตัดสินใจบางอย่าง) ขอความเห็น , บอกให้ทราบ - ความเอาใจใส่ ถามความรู้สึก 3. การจัดสภาพแวดล้อม ให้ผู้ป่วยอยู่ในที่คุ้นเคย เช่น บ้านตนเอง, เครื่องใช้ในบ้าน ไม่ควรมีการเคลื่อนย้ายบ่อย หรือไม่เป็นระเบียบ, สิ่งแวดล้อมปลอดภัย ไม่ลื่นล้มง่าย, การเปิดวิทยุ,โทรทัศน์ไม่ควรมีเสียงดังหรือเร็วเกินไป, ควรมีผู้ดูแลประจำ, ระวังการตกระเบียง, ระวังเรื่องไฟ,ทางเดินไปห้องน้ำควรสะดวก ชัดเจน,แสงสว่างเพียงพอในที่ที่ผู้ป่วยเดินไปถึง ระวังแสงที่ทำให้เกิดเงา,กระจกควรมีเฉพาะที่แต่งตัวและที่อาบน้ำ
www.sansirihomecare.com
วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
Parkinson
Parkinson
พาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากพยาธิสภาพที่
basal
ganglia บริเวณ substantia nigra ทำให้มีการผลิตสารสื่อประสาทที่ชื่อ
สารโดปามีนน้อยลง ส่งผลให้สมองสูญเสียการควบคุมการสั่งงานของกล้ามเนื้อ
สาเหตุของโรคพาร์กินสัน
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสันอย่างแน่ชัด
แต่เชื่อว่ามีปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคพาร์กินสันได้ ได้แก่
ปัจจัยทางพันธุกรรม ในรายที่มียีนผิดปกติอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสันได้
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น
การได้รับสารบางอย่างเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะโดยการสูดดมหรือการรับประทาน
หากแต่ยังไม่ทราบว่าสารใดในสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน
ลักษณะอาการในระยะแรกที่ชัดเจนในผู้ป่วยพาร์กินสัน คือปัญหาด้านกล้ามเนื้อ ดังนี้
- akinesia (มีปัญหาในการเริ่มการเคลื่อนไหว)
- bradykinesia (การเคลื่อนไหวช้า)
- muscle rigidity (กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง)
- resting tremor (มีอาการสั่นขณะพัก)
- abnormalities of posture,
gait, and balance (มีลักษณะการเดินที่ช้าลง ไหล่งุ้ม และล้มง่าย)
อาการอื่นๆที่พบคือ
- การเขียนตัวอักษรเล็กลง
- มีปัญหาด้านการพูด
แบบ dysarthria
- ขณะเดินมีการแกว่งแขนน้อยลง
- เดินแบบก้าวสั้นๆ
และโน้มตัวไปก่อนที่จะก้าวขา ที่เรียกว่า shuffling gait
- ไม่ค่อยกระพริบตา มีอาการตาแห้ง
- มีอาการเครียด วิตกกังวล
- มีปัญหานอนไม่หลับและมีความดันโลหิตลดลง
- ผิวหนังมีปัญหา เช่น รังแค หรือผิวมันผิดปกติ
- เกิดอาการความดันตกในขณะเปลี่ยนท่า ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการล้ม
- การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายผิดปกติ
- สูญเสียการควบคุมระบบขับถ่าย
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการรับความรู้สึก เช่น มีอาการปวด ชา ปวดแสบร้อน ปวดศีรษะ
ปวดหลังโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแสนสิริ โฮมแคร์
วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
อาการเจ็บปวดข้อไหล่และมือในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
อาการเจ็บปวดข้อไหล่และมือในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกในระยะ 1 – 3 สัปดาห์แรก จะมีอาการอ่อนแรงในลักษณะอ่อนปวกเปียก ภายหลังจากนี้กล้ามเนื้อจะปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระยะการเกร็งตัวซึ่งจะทำงานในลักษณะหดสั้นตลอดเวลา ยกเว้นขณะนอนหลับ กล้ามเนื้อใดที่มีการเกร็งตัวมากก็จะมีการหดตัวมาก
โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแสนสิริ โฮมแคร์
ปัญหาของผู้ป่วยที่มีการเจ็บปวดข้อไหล่และมือค่อนข้างสูง เนื่องจาก
- การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวไหล่และศอก
- การเคลื่อนไหวข้อไหล่ที่ไม่ถูกต้อง เช่น การ เหวี่ยง หรือ การกระชากแขน การทิ้งแขนห้อยข้างลำตัวหรือการนอนทับเป็นเวลานาน
- การลดลงของการเคลื่อนไหวข้อไหล่หรือแขน เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- จากผู้เฝ้าไข้ดึงแขนของผู้ป่วยแทนการยกตัวจากการดึงเข็มขัด
ส่งผลให้ เนื้อเยื่อหุ้มข้อไหล่และกล้ามเนื้อบริเวณข้อไหล่ เกิดการ หดรั้ง และ สั้น อีกทั้งยังมีการเลื่อนหล่นของข้อไหล่ เนื่องจากกล้ามเนื้อรอบข้อไม่แข็งแรง หรือไม่สมดุล
วงจรจากการเจ็บปวดข้อไหล่
วิธีการป้องกันปัญหาการเจ็บปวดข้อไหล่และมือ
หลีกเลี่ยงท่าทางดังต่อไปนี้
- การนอนทับแขนด้านที่ไม่มีแรงเป็นระยะเวลานานๆ
- การดึงหรือการกระชากแขนด้านที่ไม่ทีแรงและการห้อยแขนทิ้งข้างลำตัว
ให้ญาติช่วยเคลื่อนไหวแขนด้านที่อ่อนแรงเป็นจังหวะช้าๆ และนุ่มนวล ท่าละประมาณ 10 – 15 ครั้งดังภาพ
![]() 1.ท่ายกแขนขึ้นเหนือศีรษะ นอนหงาย จับบริเวณศอก ข้อมือและนิ้วมือ ให้ เหยียดตรง ยกแขนขึ้นจนติดศีรษะ แล้วเอาลง สลับกัน |
2. ท่ากางแขนพร้อมหมุนออก นอนหงาย จับข้อศอก ข้อมือและนิ้วมือให้อยู่ใน แนวตรง แล้วกางแขนออกห่างจากลำตัว พร้อมหมุนแขนออก (ฝ่ามือหงายขึ้น) จากนั้นหุบแขนเข้า ทำสลับกัน | ![]() |
3. ท่ายืดสะบักไปด้านหน้าและกลับด้านหลัง นอนตะแคง วางแขนผู้ป่วยบนแขนท่อนล่างของเรา จัดให้ข้อศอกอยู่ในแนวตรง มืออีกด้านจับบริเวณสะบักให้ออกแรงที่มือด้านนี้ ขยับสะบักมาด้านหน้าจนสุดแล้วดันกลับไปด้านหลัง ทำสลับกัน | ![]() |
![]() | 4. ท่าเหยียดแขนไปด้านหลัง นอนตะแคง มือด้านหนึ่งจับที่ศอก อีกด้านจับที่นิ้วมือให้เหยียดตรง ญาติช่วยขยับแขนไปด้านหลัง จากนั้นเคลื่อนกลับที่ข้างลำตัว ทำสลับกัน |
5. ท่างอและเหยียดข้อมือและนิ้วมือ นอนหงายหรือนั่ง จับมือผู้ป่วยแล้วขยับข้อมืองอและเหยียดสลับกัน สำหรับนิ้วมือให้จับแบบมือให้สุดและกำมือ ดังภาพ ในกรณีมีหลังมือบวมให้เน้นแบบมือ ห้ามกำมือโดยเด็ดขาด | ![]() |
6. ท่านั่ง จัดให้ผู้ป่วยนั่งเท้าแขน หรือจัดหมอนรองรับ ดังภาพ | ![]() ![]() |
โดยศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแสนสิริ โฮมแคร์
วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561
การออกกำลังกายเพื่อป้องกันข้อติดหรือเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ
การออกกำลังกายเพื่อป้องกันข้อติด หรือเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ
(range of motion exercise : ROM)
เมื่อมีการอักเสบ บาดเจ็บ หรือขาดการเคลื่อนไหว (immobilization) จะมีผลทำให้พิสัยการเคลื่อนไหวของข้อค่อยๆลดลง ในผู้ที่ยังไม่มีข้อติดแต่เสี่ยงต่อภาวะข้อติดเช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีภาวะกล้ามเนื้อเกร็ง หรือบวมรอบๆข้อ การขยับข้อให้สุดพิสัยการเคลื่อนไหวทำเพื่อป้องกันข้อติด แต่ในผู้ป่วยที่มีข้อติดแล้วการขยับข้อทำเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ
การยึดติดของข้อเกิดจากการหดสั้นของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ การหล่อลื่นของข้อลดลง การเพิ่มของเนื้อเยื่อชนิด collagen และ reticulin ทำให้ connective tissue แปลงสภาพจาก loose connective tissue กลายเป็น dense connective tissue ซึ่งจะเกิดในข้อที่ขาดการเคลื่อนไหว (immobility)นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือถ้ามีการอักเสบหรือการขาดเลือดมาเลี้ยง การเปลี่ยนแปลงนี้จะยิ่งเร็วขึ้น
Range of motion exercise (ROM exercise) แบ่งออกได้เป็น 4 แบบคือ
- Active exercise คือให้ผู้ป่วยออกแรงขยับข้อเองทั้งหมด
- Acitive-assistive exercise คือให้ผู้ป่วยออกแรงขยับให้เต็มที่ก่อนแล้วใช้แรงจากภายนอกหรือผู้อื่นช่วยขยับต่อจนสุดพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ
- Passive exercise คือให้ผู้ช่วยหรือใช้แรงจากภายนอกเป็นผู้ขยับตลอดพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ โดยผู้ป่วยไม่ได้ออกแรงเลย
- Passive stretching exercise คือผู้ช่วยหรือผู้บำบัดช่วยดัดยืดเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวข้อในกรณีที่มีข้อติด
หลักการ
- ถ้ายังไม่มีข้อติด ทำเพื่อป้องกัน โดยเคลื่อนไหวข้อจนครบพิสัยของข้อนั้นอย่างน้อยวันละ 2รอบ (set) รอบละ 3 ครั้ง (repetition) ซึ่งจะทำเป็น active หรือ passive ROM exercise ก็ได้
- ถ้ามีข้อติด ต้องใช้การดัดยืด (stretching) คือมีแรงมากระทำที่มากพอจนทำให้เนื้อเยื่อนั้นมีการเปลี่ยนรูป (deformation) ซึ่งต้องทำบ่อยและค้างไว้นานพอ (ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลา จำนวนครั้งและความถี่) โดยทั่วไปดัดค้างไว้ประมาณ 15-30 วินาที
การดัดยืด (stretching exercise)
- ควรใช้แรงขนาดที่ทำให้เกิดการเจ็บตึงเล็กน้อย แต่อาการเจ็บนั้นควรหายไปหลังสิ้นสุดการดัดข้อ
- ควรใช้แรงน้อยๆแต่นาน ดีกว่าใช้แรงมาก แต่ทำด้วยเวลาสั้นๆ หรือออกแรงกระตุก
- ควรให้ผู้ป่วยออกแรงขยับข้อจนสุดพิสัยที่ทำได้เองก่อน (active exercise) แล้วผู้ช่วยจึงออกแรงช่วยดัดต่อ (passive stretching exercise) ในขณะที่ให้ผู้ป่วยพยายามหย่อนกล้ามเนื้อ หรือในกรณีที่ติดมากผู้ป่วยไม่สามารถขยับได้เลยให้ผู้ป่วยพยายามหย่อนกล้ามเนื้อแล้วให้ผู้ช่วยดัด
- การให้ความร้อนก่อนหรือระหว่างการดัดข้อจะทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้น เช่น การแช่น้ำร้อน การใช้paraffin กระเป๋าน้ำร้อน หรือใช้ความร้อนลึกเช่น ultrasound และใช้ความเย็นประคบข้อหลังดัดข้อเพื่อลดอาการปวดระบม
- ในกรณีที่มีภาวะเกร็ง (spastic) มากควรรักษาภาวะเกร็งร่วมด้วย เช่น การใช้ยารับประทาน การฉีดยาลดเกร็ง (neurolysis) การแก้ไขสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการเกร็ง
- ต้องระมัดระวังการดัดข้อที่มีการบวมหรือการอักเสบเนื่องจาก tensile strength ของเนื้อเยื่อรอบข้อน้อยลงได้ถึง 50% ทำให้มีโอกาสเกิดการฉีกขาดหรือบาดเจ็บได้ง่าย
- ข้อศอกเป็นข้อที่ไม่แข็งแรง เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้อได้ง่าย อาจเกิดภาวะ myositis ossificans ซึ่งทำให้ข้อติดมากขึ้นได้ การดัดข้อศอกจึงต้องระมัดระวังและไม่ใช้แรงดัดมากเกินไป
- ข้อนิ้วมือควรมีการขยับ (mobilization) นวด (massage) เนื้อเยื่อรอบๆก่อนการดัด
- ข้อสะโพก ในผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ มีโอกาสเกิดข้อสะโพกติดในท่างอจึงควรดัดสะโพกร่วมด้วยในผู้ป่วยที่ต้องนอนนาน
- ข้อเท้า มักติดในท่าเท้าตก (equines deformity) ควรดัดโดยใช้มือจับส้นเท้า แขนสัมผัสทั้งฝ่าเท้า แล้วโน้มตัวดัดให้ทั้งฝ่าเท้ากระดกขึ้น ไม่ควรออกแรงแต่ที่ปลายเท้าเพราะจะทำให้เกิด Rocker-bottom deformity ได้
ข้อห้ามของการดัดข้อ
- bony block
- recent fracture
- acute inflammation / infection ของข้อหรือบริเวณรอบข้อที่จะทำการดัด
- hematoma / uncontrolled bleeding
- joint effusion
- contracture ที่ทำให้เกิดความมั่นคงของข้อ การยืดดัดอาจทำให้เสียความมั่นคงของข้อได้
สนใจสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับสูนย์ดูแลผู้สูงอายุแสนสิริ โฮมแคร์ ทั้ง 4 สาขา
TEL.096-405-1562,02-050-1900
www.sansirinursingthailand.org
www.sansirihomecare.com
www.nursingthailand.org
www.sansirinursinghome.com
www.bangkok-nursinghome.com
สนใจสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับสูนย์ดูแลผู้สูงอายุแสนสิริ โฮมแคร์ ทั้ง 4 สาขา
TEL.096-405-1562,02-050-1900
www.sansirinursingthailand.org
www.sansirihomecare.com
www.nursingthailand.org
www.sansirinursinghome.com
www.bangkok-nursinghome.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)